|
ถ้าพูดถึงเมืองกูชิง (Kuching) หลาย ๆ คนอาจจะไม่คุ้นหู และทำหน้างง ๆ หน่อย ๆ ตอนเราได้ยินครั้งแรก ก็ถึงกับเปิด Google ดูแผนที่เลยทีเดียว ซึ่งเพื่อนที่ทำงานก็บอกว่าเขามาจากเมืองกูชิง พร้อมเปรยให้นิดหน่อยว่า เมืองนี้อยู่อีกฟากนึงของประเทศมาเลเซีย หรือที่เรียกว่า มาเลเซียตะวันออก (East Malaysia) สามารถเดินทางได้โดยเครื่องบินเท่านั้น ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิด ๆ ก็ถึงแล้ว
โดยมาเลเซียตะวันออกนั่นตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียวหรืออีกชื่อ กาลีมันตัน (Kalimantan) เกาะที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับที่ 3 รองจากเกาะกรีนแลนด์ และเกาะนิวกินี ภายในเกาะบอร์เนียวแห่งนี้ นอกจะเป็นที่ตั้งของรัฐซาบะฮ์, รัฐซาราวัก และดินแดนสหพันธ์ลาบวน ของประเทศมาเลเซียแล้ว เกาะแห่งนี้นั้นยังเป็นที่ตั้งของประเทศบรูไนและอินโดนีเซียอีกด้วย
แมวยักษ์รอบ ๆ ตัวเมือง Kuching |
เมืองกูชิง (Kuching) นั้นเป็นเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดของรัฐซาราวัก ซึ่งคนที่นี่นั้นจะเรียกตัวเองว่า ซาราวักเกียน (Sarawakian) เขามีภาษาท้องถิ่นของเขาเอง แตกต่างจากภาษาบาฮาซามาลายู หรือภาษามาเลย์ของฟากมาเลเซียตะวันตกหรือฝั่งเมืองหลวงอย่างกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งไกด์ส่วนตัวของเรานั้น เขาพูดได้ 3 ภาษา นั่นก็คือ
- ภาษาอิบัน (Iban) ภาษาท้องถิ่นของชนเผ่าอิบัน ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงใช้เป็นภาษาท้องถิ่นทั่วไป
- ภาษาบาฮาซา มาลายู (Bahasa) หรือภาษามาเลย์ เป็นภาษาทางการของประเทศมาเลเซีย
- ภาษาอังกฤษ คนมาเลเซียบนเกาะนี้ส่วนใหญ่จะพูดภาษาอังกฤษได้แทบทุกคน
ที่เมืองแห่งนี้ แต่ก่อนนั้นเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีหลากหลายชนเผ่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าใครนึกไม่ออกว่าเป็นยังไง ก็นึกถึงชนเผ่าที่ล่าคน ตัดหัวเสียบอะไรประมาณนั้นเลย ซึ่งอ่านไปเรื่อย ๆ บล็อกนี้ เราจะพาไปเที่ยวหมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก (Sarawak Cultural Village) ไปเรียนรู้ความเป็นมาของชนเผ่าแต่ละชาติพันธุ์กัน
~ Day 1 ~
สำรวจรอบเมืองกูชิง
เมืองกูชิงกับแมวสัมพันธ์กันยังไง? เมืองที่มีแมวเยอะใช่ไหม?
ตอนแรกไกด์ส่วนตัวของเราก็บอกว่าคำว่า Kuching นั้น พ้องเสียงกับคำว่า Kucing ซึ่งแปลว่า แมว ในภาษามาเลย์ ก็เลยถูกเรียกเป็น City of Cats ซึ่งก็มีพิพิธภัณฑ์แมว Kuching Cat Museum ที่จัดแสดงประวัติความเป็นมาทุกอย่างเกี่ยวกับแมว แอบเสียใจ เพราะช่วงที่เราไป พิพิธภัณฑ์ดันปิดปรับปรุงซะงั้น แต่ก็ไม่เป็นไร ไกด์ของเราก็พาขับรถชื่นชมเหล่ารูปปั้นแมว แทบจะทุกรูปปั้นภายในตัวเมืองเลยก็ว่าได้ 555 อยากให้เห็นสีหน้านางตอนที่เราบอกให้จอด ๆ จะถ่ายรูปกับแมว คือนางเห็นรูปแมวยักษ์จนชินไง แต่เราเพิ่งเคยเห็น 555 แต่สุดท้ายก็พาจอดให้ถ่ายรูปอยู่นะ
เราบินจากดอนเมืองด้วยสายการบินมาลินโดไฟลท์เช้าสุด ไปลงที่ KLIA1 กัวลาลัมเปอร์ตอนเช้า เข้าไปเที่ยวในตัวเมืองจนค่ำ ๆ แล้วก็รอไกด์ส่วนตัวเลิกงาน จากนั้นนั่งรถจากตัวเมืองไปยัง KLIA2 เพื่อนั่งเครื่อง AirAsia ไปลงที่สนามบินนานาชาติกูชิง (KCH)
เราบินจากดอนเมืองด้วยสายการบินมาลินโดไฟลท์เช้าสุด ไปลงที่ KLIA1 กัวลาลัมเปอร์ตอนเช้า เข้าไปเที่ยวในตัวเมืองจนค่ำ ๆ แล้วก็รอไกด์ส่วนตัวเลิกงาน จากนั้นนั่งรถจากตัวเมืองไปยัง KLIA2 เพื่อนั่งเครื่อง AirAsia ไปลงที่สนามบินนานาชาติกูชิง (KCH)
ปล. ถึงแม้ว่าเราจะลงที่สนามบิน KLIA2 มาแล้ว มีประทับตราเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว แต่พอไปถึงที่สนามบินกูชิง ก็ต้องใช้พาสปอร์ตประทับตราเข้าเมืองด้วยนะเธอ รวมไปถึงคนมาเลเซียที่อยู่ตะวันตกเช่นกัน (ไกด์ของเราบอกว่า กฏหมายบ้านเขากับฝั่งตะวันตก มีหลายอย่างที่ไม่ได้ใช้ร่วมกัน ฉะนั้นเอาจริง ๆ ก็เหมือนเป็นอีกประเทศนึง แต่ใช้สกุลเงินและภาษาหลักเดียวกัน ประมาณนั้น)จากสนามบิน KLIA2 ถึงสนามบิน KCH ใช้เวลาไม่นาน ชั่วโมงนิด ๆ ก็ถึงแล้ว พอไปถึงก็เกือบ ๆ เที่ยงคืนเลย ก็ไปเช็คอินนอนที่โรงแรมนอกเมืองนิด ๆ พอถึงเช้าไกด์ของเราก็ขับรถมารับที่โรงแรมแล้วพาเราไปตะลุย หาของกินเติมพลังก่อน
ส่วนเจ้าบ้าน หรือประชากรที่มีที่อยู่ภายในรัฐซาบะฮ์, รัฐซาราวัก แค่โชว์บัตรประจำตัวประชาชน แล้วก็เดินเข้าช่องพิเศษของเขาได้เลย
โกโล หมี่ (Kolo Mee) |
ซึ่งไกด์ของเราก็พาไปร้านอาหารแบบ Local อารมณ์ประมาณสภากาแฟหรือมามัก แต่เป็นเว่อร์ชั่นของคนซาราวัก แล้วก็สั่งเจ้าหมี่โกโล หรือ โกโล หมี่ที่หน้าตาคล้าย ๆ กับบะหมี่หมูแดงแบบแห้ง ๆ บ้านเรา ซึ่งเมนูนี้นั้นเรียกว่าเป็นเมนูท้องถิ่น จะกินเป็นอาหารเช้า สาย บ่ายเที่ยง เย็น กินได้หมด โกโลหมี่นี้หากินแบบต้นฉบับดั้งเดิมได้เพียงแค่ที่นี่เท่านั้น (ไกด์บอกไม่เคยเจอที่ไหนขายในเคแอล) ถ้วยนึงได้เยอะมาก ไม่มีน้ำซุปนะ ต้องขอแยก แต่น้ำซุปที่ได้มาก็คือ จืดสนิท 555 ไว้ซดแก้ติดคอ ถ้วยนี้ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 6-8 ริงกิตเอง อิ่มแบบจุก ๆ ไปเลยจ้า
ใครมาถึงนี่แล้วไม่เคยกินโกโลหมี่ ก็เหมือนมาไม่ถึงอ่ะ (ไกด์บอก 555)
ถ่ายรูปบนสะพานข้ามแม่น้ำ Darul Hana Bridge - อาคารรัฐสภา - มัสยิดสีฟ้า
เที่ยง ๆ อากาศร้อน ๆ หน่อย ไกด์ของเราก็พาเดินขึ้นไปบนสะพานข้ามแม่น้ำซาราวัก นางบอกร้อน ๆ แบบนี้คนไม่ขึ้นมาถ่ายรูปหรอก ซึ่งแปลความหมายจริง ๆ คือ คนไม่เยอะ จะได้ถ่ายรูปสวย ๆ ไง ร้อนมาก จนลืมตาไม่ขึ้น 555 ซึ่งมุมบนสะพานก็จะเห็นภูเขา Santubong และมัสยิดลอยน้ำสีฟ้าทางซ้ายมือ ส่วนขวามือก็จะเป็น Astana แล้วก็อาคารรัฐสภานั่นเอง
อาคารรัฐสภารัฐซาราวัก (Dewan Undangan Negeri Sarawak) |
ลงจากสะพานเสร็จ ก็เดินถ่ายรูปรอบ ๆ แค่ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามก็จะเจอกับร้านขายของที่ระลึก และถนน Carpenter Street ถนนที่ฮิพที่สุดในเมืองนี้ แล้วไกด์ก็พาขับรถออกนอกเมืองไปประมาณ 40 นาที มุ่งหน้าไปที่ Sarawak Cultural Village เพื่อพาไปดูเผ่าพันธุ์ ปู่ย่าตาทวดของเขา ว่ามีประวัติความเป็นมายังไง อาศัยกันยังไง
เดินทางไปยังหมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก (Sarawak Cultural Village)
วิวระหว่างเดินทางก็จะสวยประมาณนี้ เมืองที่นี่สะอาดมาก ๆ ต้นไม้เยอะ รถไม่เยอะ ถนนดีงาม เงียบสงบ
ภายในตัวหมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก |
ไกด์ส่วนตัวก็พาขับรถไปยังนอกเมือง ซึ่งตอนแรกบอกจะพาไปดูสัตว์ป่า แต่ไปไม่ทันเวลาเขาเปิด ก็เลยขับเลยมาที่หมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก (Sarawak Cultural Village) ซึ่งตั้งอยู่ติดกับชายหาด Damai และอยู่ใกล้กับภูเขา Santubong ภูเขาที่เรามองเห็นจากสะพานข้ามแม่น้ำกูชิงไงล่ะ ซึ่งตรงชายหาดมีคาเฟ่และร้านอาหารน่านั่งมาก ๆ แต่ตอนที่เราไปคือ แดดร้อน แสบตาสุด ๆ เลยเข้าไปในตัวหมู่บ้านเลย
ปล. มีค่าธรรมเนียมค่าเข้าด้วยนะ พอดีไกด์จ่ายให้ เราเลยไม่ทันได้สังเกต ราคาคนต่างชาติจะแพงกว่า
ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ก็กว้างใหญ่ไพศาลมาก เมื่อเข้ามาจากประตูทางเข้า พนักงานก็จะบอกว่ามีโชว์การแสดงรอบไหนกี่โมงบ้าง เพราะเป็นไฮไลท์สำคัญของที่นี่ รวมไปถึงพาสปอร์ต ไว้ให้เราแสตมป์เมื่อไปถึงบ้านแต่ละหลัง ฉะนั้น เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องกะเวลาให้ดี ไม่ใช่ว่าเดินดูบ้านเพลิน จนลืมมาดูโชว์การแสดงล่ะ ซึ่งเราก็พลาดในส่วนของเริ่มโชว์เหมือนกัน สถานที่มันกว้างจริง ๆ กว่าจะเดินจากบ้านหลังนึง มาอีกหลังนึง และกว่าจะมาถึงโรงละคร ค่อนข้างหอบ และลมจับเลยทีเดียว
บ้านหลังนี้จำได้คือหลังแรก ๆ เลยจากทางเข้า เดินทะลุสะพานไม้มา ซึ่งไกด์บอกว่า นี่แหละบ้านของชนเผ่าของต้นกำเนิดของเขา ซึ่งปัจจุบันเขาก็ยังอยู่กันแบบนี้ แต่อยู่ในป่าลึก ๆ เรียกว่าบ้าน Bidayuh House ข้างในก็จะมีคนชนเผ่า ใส่ชุดประจำชนเผ่าทำกิจวัตรประจำวัน เหมือนอยู่บ้านปกติ บ้านบางหลังก็นั่งเย็บทอเสื้อผ้า บางหลังก็เหล่ามีด ทำพร้า บางหลังก็ทำขนมให้นั่งท่องเที่ยวได้ซื้อฝาก ติดไม้ติดมือกลับบ้านอีกด้วย
ของที่ระลึก นั่งทำในบ้านแล้วขายตรงนั้นเลยจ้า |
การเดินทางสำหรับคนที่ไม่ได้เช่ารถขับ สามารถนั่งรถบัสที่เทอร์มินัลในตัวเมือง, Grab หรือ Taxi หรือใช้บริการรถตู้รับส่ง โดยมีจุดรับส่งภายในตัวเมือง หรือเช็ครายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://scv.com.my/
ประมาณเกือบ 5 โมงเย็น หลังจากที่โชว์การแสดงพื้นบ้านจบ เราก็เดินทางกลับเข้าตัวเมืองกูชิง เพื่อที่จะไปทานมื้อเย็นในตัวเมือง แล้วค่ำ ๆ ก็จะเดินไปดูโชว์การแสดงน้ำพุ แสงเสียง 3 มิติที่บริเวณฝั่งตรงข้ามอาคารรัฐสภาที่เราไปถ่ายรูปมาเมื่อตอนบ่าย ๆ
~ Day 2 ~
ฟาร์มจระเข้ - ถ่ายรูปรอบ ๆ Carpenter Street
รูปปั้นแมวยักษ์ที่เมือง Kuching
เราก็เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมแต่เช้า รอไกด์มารับ แล้วพาไปหาอะไรกินรองท้องในเมือง ซึ่งร้านที่ไกด์เราพาไปบอกว่าเป็นร้านอาหารเช้าแบบท้องถิ่น ชื่อว่า Sing Fook Seng ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับรูปปั้นแมวยักษ์ หรือชื่ออย่างเป็นทางการ Padungan Roundabout Cat Statue พอเราเห็นปุ๊บ ก็บอกให้ไกด์จอดรถทันที เพราะหมั่นเขี้ยวมาก รอให้กรุ๊ปทัวร์ถ่ายเสร็จก่อน จากนั้นเราก็จอดรถแล้วข้ามไปถ่ายกับรูปปั้นแมวยักษ์เลย
Sarawak Laksa ลักซาต้นฉบับจากซาราวัก
เช้านี้ไกด์ส่วนตัวสั่งลักซาพร้อมกับชา 3 ชั้น หรือ 3 Layers Tea ให้ทาน พร้อมบรรยายว่าลักซาของที่นี่จะต่างกับของเคแอลหรือสิงคโปร์ตรงที่น้ำซุป จะเข้มข้นกว่าแล้วก็แป้งของเส้นลักซา ถ้าของสิงคโปร์เส้นลักซาจะนิ่ม ๆ แบบขนมจีนบ้านเราเลย ซึ่งไกด์บอกหากินได้ที่นี่เท่านั้น ในเคแอลถึงจะมีขาย แต่ก็รสชาติไม่เหมือนกับของที่นี่
เดินทางไปยังฟาร์มจระเข้ Jong's Crocodile farm & Zoo
จากนั้นไกด์ส่วนตัวก็พาขับรถไปยังฟาร์มจระเข้ Jong's Crocodile farm ซึ่งขับรถจากตัวเมืองไปประมาณ 45 นาที โดยค่าเข้าชมของนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่คนซาราวักอยู่ที่ RM24 หรือประมาณ 180 เอง ตัวพื้นที่ของฟาร์มไม่ได้ใหญ่มาก มีสัตว์อย่างอื่นด้วย เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ๆ ซึ่งช่วงทางเข้าของฟาร์มก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์จระเข้แบบย่อ ๆ มีประวัติความเป็นมา ข่าวในอดีตของจระเข้อะไรทำนองนี้
พอเริ่มเข้ามาก็จะเป็นบ่ออนุบาลจระเข้ ที่มีจระเข้พันธุ์ต่าง ๆ แทบทุกมุมโลกให้ดู
น้องตัวนี้เป็นจระเข้ไม่มีหาง (Tailess Crocodile) ว่ายน้ำไม่ได้ ต้องอยู่ที่ตื้นอย่างเดียว
ข้างในก็มีสวนสัตว์ย่อม ๆ มีน้องกวาง น้องลิง แล้วก็มีร้านอาหารริมบ่อจระเข้ ช่วงบ่าย ๆ จะมีโชว์ป้อนอาหารให้จระเข้ด้วย อย่าลืมดูตารางการให้อาหารจระเข้ก่อนไปเดินเที่ยวในสวนสัตว์ล่ะ
ปล. ข้างในมีบ่อปลาและก็ซุ้มนั่งเล่นริมน้ำ ใครอยากจะสั่งอาหาร นั่งชิลที่บ่อปลาก็ได้บรรยากาศดีนะเออ
ขอบคุณไกด์ส่วนตัวของเรา (คนเดียว) มา ณ ที่นี่ อิอิ
ใช้เวลาที่ฟาร์มจระเข้ประมาณ 3 ชั่วโมง จากนั้นก็กลับเข้าเมือง เพราะว่าอยากจะไปถ่ายรูปเก็บตกตรงถนน Carpenter Street แล้วก็ซื้อของฝากก่อนกลับเคแอล
แวะ ถ่ายรูป Carpenter Street ย่านจีนแบบฮิพ ๆ ซื้อของฝาก ของกินเพียบ
จากนั้นไกด์ก็พาขับรถกลับมายังย่านสำคัญที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งเมื่อมาที่เมืองกูชิง นั่นก็คือ Carpenter Street อารมณ์คล้าย ๆ China Town แต่เน้นไปทางของกิน อาหารจีนซะส่วนใหญ่ มีบาร์ ฮอสเทล ร้านขายของที่ระลึก คาเฟ่ ศาลเจ้า แต่ละซอยก็มีหยิบย่อยไปอีก มีกำแพงกราฟิตี้สวย ๆ หลายจุด คล้าย ๆ วอล์กกิ้งสตรีทที่ปีนังแต่เล็กและเงียบเหงากว่า แนะนำให้ไปเดินช่วงสาย ๆ ถึงเที่ยง เพราะบ่าย ๆ บางร้านก็ปิดแล้ว เหลือเพียงแต่บาร์และร้านอาหารไม่กี่ร้านที่เปิดอยู่
Carpenter Street ตอนเย็น ๆ ร้านปิดหมดแล้ว 555 |
จริง ๆ ก็ว่าจะแวะหาอะไรกินแถวนี้ แต่ก็ค่อนข้างเงียบ เดินรอบ ๆ ก็ยังไม่ถูกใจ เพราะวันอาทิตย์ร้านค้าภายในถนนจะเริ่มปิดช่วงบ่าย ๆ มีแต่ร้านค้าขายของฝากรอบนอกที่ยังเปิดขายตลอด
ตึกแถวที่นี่ถึงจะเก่า แต่เขาก็ดูแลตกแต่งดีอยู่นะ ไม่ได้ปล่อยให้โทรมแต่อย่างใด ได้ฟีลวินเทจไปอีก
ก่อนจะไปสนามบินกลับเคแอล ไกด์ส่วนตัวก็พาไปแวะถ่ายรูปกับรูปปั้นแมวที่เหลือ มีอีกที่หนึ่งที่เป็นแบบ iconic ตรงนั้นหาที่จอดรถยาก ก็เลยอดไปถ่ายเลย
สรุปทริป 2 วัน 1 คืน (จริง ๆ ต้อง 2 คืนแต่ไปถึงเที่ยงคืนขอไม่นับแล้วกัน) ที่กูชิง
- เมืองเงียบสงบมาก ไม่วุ่นวาย รถไม่เยอะ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการมารีชาร์จ ปลีกวิเวก
- ระบบขนส่งสาธารณะที่นี่มีรถบัส, แท็กซี่, Grab นะ รถไฟฟ้าไรงี้ ไม่มีนาจา ถ้าอยู่ในย่าน Carpenter Street เดินเอาชิล ๆ ก็ได้
- สรุปมีแมวเยอะไหม? ตอบเลย แมวจริง ๆ แทบไม่มีนะ เจอแต่แมวรูปปั้นมากกว่า แอบนอยนิดนุง
- ที่นี่ใช้เงินริงกิต ใช้สัญญาณโทรศัพท์เดียวกันกับที่เคแอลเลย ไม่ต้องกังวลจ้า
- อาหารส่วนใหญ่จะเป็นอาหารท้องถิ่นแล้วก็จีน มีคนจีนเยอะนะ ร้านอาหารฮาลาลแอบหายาก
- คนที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้แทบทุกคน ไม่ต้องกลัวเรื่องภาษาเลย
- มีห้างใหญ่ มีโรงแรมห้าดาว ไปจนถึงโฮสเทล ฝรั่งแบคแพคก็พอมีให้เห็นบ้าง
โดยรวม ชอบนะ อารมณ์เหมือนมาเที่ยวต่างจังหวัด เงียบสงบ คนไม่เยอะ มองไปทางไหนก็เขียวชะอุ่มเต็มไปด้วยต้นไม้ ผู้คนเป็นมิตร ที่สำคัญ ค่าเครื่องบินของแอร์เอเชียก็ไม่แพงด้วย ใครที่อยากหาที่พักผ่อนหย่อนใจ แบบคนไม่พลุกผล่าน กูชิงก็ตอบโจทย์อยู่นะเออ เมี๊ยว ๆ ^^
โบโกะ and her personal tour guide,
แสดงความคิดเห็น